ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-to-one Relationships) เป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้หนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในอีกเอนทิตี้หนึ่ง ในลักษณะหนึ่งต่อหนึ่ง (1: 1) 2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-many Relationships) เป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้หนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลหลาย ๆ ข้อมูลในอีกเอนทิตี้หนึ่ง ในลักษณะ (1:m) 3.
*** วิธีหา Ip address ifconfig eth0 | grep inet | awk '{ print $2}' Step 2: Install MySQL run command sudo apt-get install mysql-server libapache2-mod-auth-mysql php5-mysql ระบบจะให้ทำการตั้ง password สำหรับ root user บน mysql หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ทำการเช็ก status mysql ด้วย command Ubuntu 16. 04/15. 10/15. 04: sudo systemctl status mysql Ubuntu 14.
สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลชนิดเดียวกันไว้หลาย ๆ ที่ ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน (Redundancy) ดังนั้นการนำข้อมูลมารวมเก็บไว้ในฐานข้อมูล จะชาวยลดปัญหาการเกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ โดยระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System: DBMS) จะช่วยควบคุมความซ้ำซ้อนได้ เนื่องจากระบบจัดการฐานข้อมูลจะทราบได้ตลอดเวลาว่ามีข้อมูลซ้ำซ้อนกันอยู่ ที่ใดบ้าง 2. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ หาก มีการเก็บข้อมูลชนิดเดียวกันไว้หลาย ๆ ที่และมีการปรับปรุงข้อมูลเดียวกันนี้ แต่ปรับปรุงไม่ครบทุกที่ที่มีข้อมูลเก็บอยู่ก็จะทำให้เกิดปัญหาข้อมูลชนิด เดียวกัน อาจมีค่าไม่เหมือนกันในแต่ละที่ที่เก็บข้อมูลอยู่ จึงก่อใให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลขึ้น (Inconsistency) 3. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ฐานข้อมูล จะเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลที่มาจากแฟ้มข้อมูลต่างๆ ก็จะทำได้โดยง่าย 4. สามารถรักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล บางครั้งพบว่าการจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น จากการที่ผู้ป้อนข้อมูลป้อนข้อมูลผิดพลาดคือป้อนจากตัวเลขหนึ่งไปเป็นอีกตัวเลขหนึ่ง โดยเฉพาะกรณีมีผู้ใช้หลายคนต้องใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลร่วมกัน หากผู้ใช้คนใดคนหนึ่งแก้ไขข้อมูลผิดพลาดก็ทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบตามไป ด้วย ในระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) จะสามารถใส่กฎเกณฑ์เพื่อควบคุมความผิดพลาดที่เกดขึ้น 5.
ระบบจัดการฐานข้อมูล หมายถึง.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. 4. องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูลประกอบด้วยอะไรบ้าง............................................. …………………………………………………………… 5.
โปรแกรม DBase DBase เป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่ทำงานบน DOS ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรม เช่น Report และข้อมูลที่ได้จาก Dbase นั้นจะเป็นไฟล์ ที่จะสามารถประมวลผลใน Word Processer หรือใน Excel ได้ 2. โปรแกรม Microsoft Access เป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลอันนึง ที่ถูกพัฒนาโดย บริษัท Microsoft ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่สามารถจัดการกับข้อมูลปริมาณมากๆได้อย่างง่ายดาย โดยโปรแกรม Access นั้นจะเป็นที่นิยมใช้งานกันมากสำหรับ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วๆไป ซึ่งใช้สำหรับทำงานทั่วๆไป 3. โปรแกรม Microsoft SQL Server เป็นโปรแกรมอีกตัวนึงของทาง Microsoft ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ช่วยให้การบริหารงานฐานข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น จัดการกับการทำงานของฐานข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังจัดเก็บและประมวลผมได้ด้วย 4. โปรแกรม Fox Pro เป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล อีกตัวจากทาง Microsoft ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่ใช้งานง่าย มีผู้ใช้งานมากมาย โดย โปรแกรมที่เขียนด้วย FoxPro จะสามารถใช้กลับ dBase คำสั่งและฟังก์ชั่นต่าง ๆ ใน dBase จะสามารถใช้งานบน FoxPro ได้ นอกจากนี้ใน FoxPro ยังมีเครื่องมือช่วยในการเขียนโปรแกรม 5.
สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ การเก็บข้อมูลชนิดเดียวกันไว้หลาย ๆ ที่ ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน (Redundancy) ดังนั้นการนำข้อมูลมารวมเก็บไว้ในฐานข้อมูล จะช่วยลดปัญหาการเกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ โดยระบบจัดการฐานข้อมูล ( Database Management System: DBMS) จะช่วยควบคุมความซ้ำซ้อนได้ เนื่องจากระบบจัดการฐานข้อมูลจะทราบได้ตลอดเวลาว่ามีข้อมูลซ้ำซ้อนกันอยู่ที่ใดบ้าง 2. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ หากมี การเก็บข้อมูล ชนิดเดียวกันไว้หลาย ๆ ที่และมีการปรับปรุงข้อมูลเดียวกันนี้ แต่ปรับปรุงไม่ครบทุกที่ ที่มีข้อมูลเก็บอยู่ ก็จะทำให้เกิดปัญหาข้อมูลชนิดเดียวกัน อาจมีค่าไม่เหมือนกัน ในแต่ละที่ ที่เก็บข้อมูลอยู่ จึงก่อใให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลขึ้น (Inconsistency) 3. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ฐานข้อมูลจะเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการใช้ข้อมูล ใน ฐานข้อมูล ที่มาจากแฟ้มข้อมูลต่างๆ ก็จะทำได้โดยง่าย 4. สามารถรักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล บางครั้งพบว่า การจัดเก็บข้อมูล ในฐานข้อมูล อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น จากการที่ผู้ป้อนข้อมูล ป้อนข้อมูลผิดพลาด คือป้อนจากตัวเลขหนึ่ง ไปเป็นอีกตัวเลขหนึ่ง โดยเฉพาะกรณีมีผู้ใช้หลายคน ต้องใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลร่วมกัน หากผู้ใช้คนใดคนหนึ่ง แก้ไขข้อมูลผิดพลาดก็ทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบตามไปด้วย ในระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) จะสามารถใส่กฎเกณฑ์เพื่อควบคุมความผิดพลาดที่เกดขึ้น 5.
สามารถกำหนดความป็นมาตรฐานเดียวกันของข้อมูลได้ การเก็บ ข้อมูลร่วมกันไว้ในฐานข้อมูลจะทำให้สามารถกำหนดมาตรฐานของข้อมูลได้รวมทั้ง มาตรฐานต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลให้เป็นไปในลักษณะเดียวกันได้ เช่นการกำหนดรูปแบบการเขียนวันที่ ในลักษณะ วัน/เดือน/ปี หรือ ปี/เดือน/วัน ทั้งนี้จะมีผู้ที่คอยบริหารฐานข้อมูลที่เราเรียกว่า ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator: DBA) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานต่างๆ 6. สามารถกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้ ระบบความ ปลอดภัยในที่นี้ เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิมาใช้ หรือมาเห็นข้อมูลบางอย่างในระบบ ผู้บริหารฐานข้อมูลจะสามารถกำหนดระดับการเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนได้ ตามความเหมาะสม 7. เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล ในระบบฐาน ข้อมูลจะมีตัวจัดการฐานข้อมูลที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล โปรแกรมต่าง ๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างข้อมูลทุกครั้ง ดังนั้นการแก้ไขข้อมูลบางครั้ง จึงอาจกระทำเฉพาะกับโปรแกรมที่เรียกใช้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น ส่วนโปรแกรมที่ไม่ได้เรียกใช้ข้อมูลดังกล่าว ก็จะเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลง รูปแบบของระบบฐานข้อมูล มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ 1.
เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2563 ผู้เข้าชม: 100, 684 ดาวน์โหลดโปรแกรม Database Browser โปรแกรมเชื่อมต่อฐานข้อมูล ดาต้าเบส (Database) ได้ทุกยี่ห้อ เช่น MySQL Oracle ไม่มีติดตั้ง เหมือนปลั๊กไฟหลายหัว ใช้ได้กับหลายประเทศ ฟรี โหวตให้คะแนน 14, 124 (ทั้งหมด) 12 (สัปดาห์ก่อน) เวอร์ชัน 5. 3. 2.
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) เป็นการเก็บข้อมูลในรูปแบบที่เป็นตาราง (Table) หรือเรียกว่า รีเลชั่น (Relation) มีลักษณะเป็น 2 มิติ คือเป็นแถว (row) และเป็นคอลัมน์ (column) การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะเชื่อมโยงโดยใช้แอททริบิวต์ (attribute) หรือคอลัมน์ที่เหมือนกันทั้งสองตารางเป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูล ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์นี้จะเป็นรูปแบบของฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน 2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะเป็นการรวมระเบียนต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างระเบียนแต่จะต่างกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ ในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะแฝงความสัมพันธ์เอาไว้ โดยระเบียนที่มีความสัมพันธ์กันจะต้องมีค่าของข้อมูลในแอททริบิวต์ใดแอ ททริบิวต์หนึ่งเหมือนกัน แต่ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย จะแสดงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น 3.
โปรแกรม Oracle คือโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ที่ผลิตโดย ตัวของบริษัท Oracle เอง ซึ่งจะเป็นโปรแกรม จัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ที่จะค่อยเป็นตัวกลางติดต่อใช้งาน ระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล 6. โปรแกรม MariaDB เป็นระบบจัดการฐานข้อมูลเป็นระบบที่จัดเรียงข้อมูลที่ออกแบบการใช้งานที่ง่ายและให้บริการฟรี และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มนักพัฒนาระบบฐานข้อมูล MySQL ที่ต้องการรักษาสถานะซอฟท์แวร์ฟรีภายใต้ข้อตกลง GNU GPL 7. โปรแกรม phpMyAdmin โปรแกรมที่ถูกพัฒนาโดยใช้ภาษา PHP เพื่อใช้ในการบริหารจัดการฐานข้อมูล Mysql แทนการคัย์คำสั่งโดยโปรแกรม นี้จะใช้งานได้ง่ายมีเครื่องมือต่างๆที่สามารถจัดการฐานข้อมูล DBMS ได้สะดวกรวดเร็ว 8. โปรแกรม PgAdmin เป็นโปรแรกมที่คล้ายๆ กับ phpMyadnin แต่ไว้สำหรับจัดการฐานข้อมูล PostgreSQL มีทั้งเวอร์ชั่นที่เป็น Windows GUI และ Webbase และนี่ก็เป็น โปรแกรมฐานข้อมูลที่คนนิยมใช้งานกัน แต่ว่ายังมีโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลอื่นๆอีกมากมาย นอกเหนื่อจากที่ยกตัวอย่างมา เช่น โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล Navicat (นาวิแคท) ซึ่งสามารถใช้งาน จัดการระบบฐานข้อมูลได้เหมือนกัน และนอกจากนี้ยังสามารถดูการสอน การใช้งาน phpMyAdmin สอนการใช้งานโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล MySQL หรือจะเป็นข้อมูล หนังสือ จัดการฐานข้อมูลด้วย MySQL ฉบับสมบูรณ์ อ้างอิง ตัวอย่างโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล.