ผู้ดูแลเว็บไซต์ webmaster นายประพันธ์ สุขทะใจ ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์ กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น
รัฐสภาไทยพัฒนามาจากเคาน์ซิลออฟสเตต (Council of State) หรือ สภาที่ปรึกษา ราชการแผ่นดิน และองคมนตรีสภา (Privy Council) ซึ่งเป็นสภาที่ปรึกษาในพระองค์ที่มีมาตั้งแต่ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ. ศ.
2475 นั่นเองต่อมาในปีพ. 2489 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อใหเหมาะสมก ้ ับสถานการณ์บ้านเมือง โดยรัฐสภาได้เปลี่ยนเป็น "ระบบสภาคู่" หรือ "ระบบสองสภา" คือ สภาผู้แทนราษฎร และพฤฒ สภา ซึ่งพฤฒสภามีขึ้นเพื่อทําหน้าที่เป็นสภายับยั้ง หรือสภากลั่นกรองงาน คอยเหนี่ยวรั้งมใหิ ้สภา ผู้แทนทํางานด้านนิติบัญญัติเร็วเกินไป จนขาดความรอบคอบ ซึ่งเป็นอํานาจหน้าท่ของ ี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 นั่นเอง สมาชิกพฤฒสภา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ. 2489 มาจากการเลือกตั้ง (ทางอ้อม) มีคุณสมบัติสูงกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิกล่าวคือ ต้องมีอายุไม่ ต่ํากว่า 40 ปีบริบูรณ์มีคุณวุฒิอย่างต่ําปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่ต่ํากว่า 5 ปี หรือเคย ดํารงตําแหน่งทางราชการมาแล้วไม่ต่ํากว่าหัวหน้ากอง หรือเทียบเท่า หรือเคยเป็น สมาชิกสภาผู้แทนมาแล้ว มีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 6 ปีโดยวาระเริ่มแรกเมื่อครบกําหนด 3 ปีให้มีการเปลี่ยนสมาชิกจํานวนกึ่งหนึ่ง โดยการจับสลากออกและผู้ที่ออกไปแล้วมีสิทธิได้รับ เลือกตั้งอีกครั้ง อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวใช้บังคับได้ไม่นาน ก็ถูกยกเลิก รัฐธรรมนูญฯ ฉบับต่อมา คือ ฉบับปีพ.
2490 ยังคงกําหนดให้รัฐสภาเป็นระบบสองสภาเช่นเดิม คือ สภา ผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (ไม่ได้ใช้ชื่อ "พฤฒสภา") สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง ส่วนอํานาจ หน้าที่ยังคงเดิม คือ เป็นสภากลั่นกรอง "วุฒิสภา" ที่สมาชิกมาจากการแต่งตั้ง มีเรื่อยมาจนกระทั่งมีการปฏิรูปการเมืองครั้ง ใหญ่ ในปีพ.